พระพุทธรูป เก่า-ใหม่
พันธุ์แท้พระเครื่อง ราม วัชรประดิษฐ์
"เป็นหนึ่งในหลักวิชาการที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝน จึงขอนำหลักการเบื้องต้นของพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์ ว่าความเก่าใหม่นั้นดูอย่างไร"
ปัจจุบัน
วงการนักนิยมสะสมพระบูชาพระเครื่องขยายวงกว้างยิ่งขึ้น
มีผู้ให้ความสนใจศึกษาและมุ่งหวังที่จะเข้าสู่วงการเพิ่มมากขึ้นด้วย
แต่ถามว่าบุคคลเหล่านั้นจะเข้าใจในสิ่งที่ได้ศึกษามาอย่างถ่องแท้หรือไม่
สามารถมาขับเคี่ยวกับเสือ สิงห์ นักเล่นมืออาชีพ (เซียน) ในวงการได้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับความบากบั่นและมุ่งมั่นของแต่ละบุคคล
การพิจารณาพระพุทธ
รูป ก็เป็นหนึ่งในหลักวิชาการที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝน
จึงขอนำหลักการเบื้องต้นในการศึกษา "พระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์"
ว่าความเก่าใหม่นั้นดูอย่างไร
มาทำความเข้าใจคำว่า "เนื้อสัมฤทธิ์"
กันก่อน คำว่า "สัมฤทิธิ์" คือการนำโลหะต่างๆ มาผสมกัน อาทิ ทองคำ เงิน นาก
ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว ฯลฯ
สำหรับพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์มักนิยมใช้ส่วนผสมของโลหะ ดังนี้
- ผสมโลหะ 5 ชนิด คือ ดีบุก 1 บาท ปรอท 2 บาท ทองแดง 3 บาท เงิน 4 บาท และทองคำ 5 บาท เรียก "ปัญจโลหะ"
- ผสมโลหะ 7 ชนิด คือ ดีบุก 1 สังกะสี 2 เหล็กละลายตัว 3 ปรอท 4 ทองแดง 5 เงิน 6 และทองคำ 7 เรียก "สัตโลหะ"
- ผสมโลหะ 9 ชนิด คือ ชิน 1 เจ้าน้ำเงิน 2 เหล็กละลายตัว 3 บริสุทธิ์ 4 ปรอท 5 สังกะสี 6 ทองแดง 7 เงิน 8 และทองคำ 9 เรียก "นวโลหะ"
ศึกษา
เกี่ยวกับโลหะต่างๆ ที่นำมาผสมรวมกัน ซึ่งจะมีคุณสมบัติเฉพาะในแต่ละตัว
เช่น ทองคำ เมื่อนำมาผสมกับโลหธาตุอื่นก็จะเกิดความมันใสขึ้น "เจ้าน้ำเงิน"
จะทำให้ผิวกลับดำ มองเห็นความเก่าชัดเจน เป็นต้น
หรือบางครั้งเมื่อผสมกันแล้วโลหธาตุจะเปลี่ยนไป เช่น
เมื่อนำทองแดงมาผสมกับสังกะสีก็จะกลายเป็นทองเหลือง ทั้งนี้ทั้งนั้น
การนำเอาโลหะต่างๆ
ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวมาผสมรวมกันก็จะปรากฏเอกลักษณ์เฉพาะขึ้นมาสำหรับ
เนื้อสัมฤทธิ์นั้นๆ
พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ที่พบเห็นกันโดยส่วนใหญ่
มีอาทิ "เนื้อสัมฤทธิ์ดำ" เป็นส่วนผสมที่มีโลหะเงินมาก
"เนื้อสัมฤทธิ์เขียว" มีส่วนผสมของทองเหลืองมาก และ
"เนื้อสัมฤทธิ์แดงน้ำตาลไหม้" มีส่วนผสมของทองแดงมาก
และทั้งหมดนี้ถ้าได้ผสมโลหะทองคำเข้าไปด้วย
ก็จะทำให้เนื้อสัมฤทธิ์ดังกล่าวมันวาวและสวยงามยิ่งขึ้น
เมื่อทราบ
ถึงลักษณะการผสมและคุณสมบัติเฉพาะที่จะมีส่วนปรากฏบนพื้นผิวองค์พระแล้ว
ก็มาเข้าสู่หลักการพิจารณา "ความเก่า-ใหม่" เบื้องต้น ดังนี้
1.สังเกต
พุทธศิลปะ ตามที่ได้ศึกษามาว่าอยู่ในสมัยใดเป็นอันดับแรก ทวารวดี ศรีวิชัย
ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย หรืออยุธยา
จากนั้นดูความประณีตงดงามว่าเป็นฝีมือช่างหลวงหรือช่างราษฎร์
2.พระ
เก่าหรือโลหะเก่าแท้จะต้องมีคราบ มีสนิม ความสึกกร่อน รอยชำรุด รูสนิมขุม
ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ สนิมจะเกิดจากด้านในออกมาด้านนอก ปากสนิมจะเล็ก
การกัดกินจะไม่สม่ำเสมอ แต่ถ้าพระใหม่จะใช้น้ำกรดสาด
ลักษณะสนิมปากนอกจะกว้าง และความขรุขระสม่ำเสมอ
3.พระเก่าเมื่อสัมผัสจะไม่มีขอบคม ไม่เหมือนพระใหม่
4.พระเก่าผิวเนื้อจะเข้ม มันใส และแห้งเนียน ในภาษาวงการพระเรียก "มีความซึ้งตาซึ้งใจ" ไม่กระด้างเหมือนพระใหม่
5.พระเก่าที่มีอายุยาวนาน เมื่อเคาะที่ฐานจะมีเสียงแปะๆ ส่วนพระใหม่เสียงจะกังวาน
6.ดินหุ่นด้านในใต้ฐานองค์พระของพระเก่าจะค่อนข้างหนา และแข็ง เอามือสัมผัสแทบไม่หลุดติดมือมาเลย
7.เม็ดพระศกของพระเก่าจะเล็กบ้างใหญ่บ้างเบี้ยวบ้างแตกต่างกันเล็กน้อย แต่พระใหม่จะเป็นระเบียบ
แต่
อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการเข้าสู่วงการนักสะสมจริงๆ
ท่านต้องหมั่นค้นคว้าศึกษา ได้เห็นของแท้บ่อยๆ ให้เกิดความชินตา
หาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญที่ไว้วางใจได้สักคนที่จะให้คำแนะนำที่ถูกต้อง
ที่สำคัญต้องกล้าเสี่ยงที่จะลองผิดลองถูกครับผม
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ค่ะ
อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://เว็บพระ.net/index.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น